ยุคนี้สมัยนี้ใครเร็วใครไว ย่อมจะได้ผลตอบแทนมากกว่า
เหมือนกับการเลือกปลูกยาง
|
จะดีไหม หากจะปลูกยาง ต้องเลือกพันธุ์โตไว ให้ผลผลิตสูง
และสำคัญไปกว่านั้น ต้องเป็นพันธุ์ดีที่มาจากกระบวนการผลิตกล้าที่มีคุณภาพ อย่าง “ยางบัดดิ้ง” เป็นต้น
กล้ายางบัดดิ้ง ในวงการรู้ดีว่า มีรากแก้ว รากเยอะ หาอาหารเก่ง
ต่างจากยางชำถุงที่ถูกตัดรากแก้ว การยึดเกาะดินไม่ดี ยิ่งถ้าไปปลูกที่ดอน ที่เขา
หรือ ลมแรง โอกาสล้มเสียหายมีสูง
หนึ่งในพันธุ์ยางที่แนะนำคือ กล้ายางบัดดิ้งพันธุ์ KT 311 ของ นายขำ นุชิตศิริภัทรา เจ้าของแปลงยางเก่าแก่มากประสบการณ์ของ
จ.ตรัง
นายขำ นุชิตศิริภัทรา |
นายขำบอกว่า การเพาะต้นกล้ายางบัดดิ้ง จะใช้เมล็ดยางจากต้นที่มีอายุ 25 ปี ขึ้นไป เพราะเป็นต้นแข็งแรง สมบูรณ์ เมล็ดที่ได้จากต้นก็จะสมบูรณ์ นำมาเพาะกล้าได้แข็งแรงมีคุณภาพ
เมล็ดจะถูกเพาะในถุงขนาด 5x15 นิ้ว หรือ 6x18 นิ้ว มีดินแดงเป็นเครื่องปลูก
เพราะประมาณถุงละ 3-4 เมล็ด เลี้ยงประมาณ 8 เดือน
แต่เทคนิคใหม่ของนายขำก็คือ
นำเมล็ดมาเพาะในขุยมะพร้าวให้รากงอกเป็น “ตีนตุ๊กแก” จากนั้นจึงนำไปปลูกในถุง
ต้นกล้าที่งอกออกมาจะสมบูรณ์แข็งแรง โดยเฉพาะรากจะหาอาการเก่ง
เมล็ดที่เพาะในถุงหลังจาก 8 เดือนจะถูกเลือกให้เหลือเพียงต้นแข็งแรงที่สุดเพียงต้นเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่าต้นตอจะเป็นต้นที่แข็งแรง และสมบูรณ์ เลี้ยงอยู่ในถุงนี้ 4-6 เดือน หรือไม่เกิน 1 ปี จึงนำตายางพันธุ์ KT.311 มาติด
เมื่อต้นตอมีรากแก้ว มีรากเยอะ จึงหาอาหารได้เก่ง
ประกอบกับยางพันธุ์ KT.311 มีคุณลักษณะโตไวใหญ่เร็ว จึงทำให้กล้ายาง KT.311 จะโตไวเป็นพิเศษ
“กล้ายางบัดดิ้งจะช่วยให้ระบบรากแข็งแรง เพราะไม่มีการถอนราก ตัดรากเหมือนยางชำถุง รากจะเดินเร็ว โตไว และใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปี ก็สามารถเปิดกรีดได้จากกล้ายางพันธุ์อื่นต้องใช้เวลา 6-7 ปี ประหยัดเวลาได้ 2-3 ปี”
จุดเด่นของกล้ายางพันธุ์ KT.311 คือ โตไว ใหญ่เร็ว 5 ปี สามารถเปิดกรีดได้ ให้น้ำยาง 500 กก./ไร่/ปี หลังจากเปิดกรีดปีที่ 3 เป็นต้นไป ขณะที่ความเข้มข้นของเปอร์เซ็นต์ยางสูง สามารถปลูกได้ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ยกเว้น พื้นที่ที่มีระดับน้ำใต้ดิน 1.50 เมตร หรือ พื้นที่ลุ่มไม่สามารถปลูกได้ เพราะน้ำขังแฉะเกินไป
ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อไปได้ที่ นายขำ
นุชิตศิริภัทรา โทรศัพท์ 08-1979-9999, 0911-311-311
previous article
บทความใหม่กว่า
ไม่มีความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น